วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

คนที่มีแม่ต้องอ่าน


'เมื่อแฟนผมให้ไปออกเดทกับหญิงอื่น' หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปีผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอเพราะ...วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่งมันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ' ภรรยาผมพูด'แต่ผมรักคุณนี่' ผมเถียง'ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน'ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ 'แม่' ของผมเอง ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา 19 ปีแล้วเนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบและยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแลทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้นผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้นวันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนังแม่ถามผมว่า 'มีอะไรหรือ? ลูกสบายดีรึเปล่า?'แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหันหมายความว่า มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดข ึ้น ผมตอบแม่ว่า 'ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง'แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า 'ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ' + 'แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ'...เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่าแม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้วแม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้ายพลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า 'จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย' แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ เพื่อน ๆ ของแม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบแม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งหลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร เพราะแม่บอกว่า 'ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น'เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหารผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลังแม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า 'ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ' ผมบอกแม่ว่า 'งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว' ในระหว่างมื้ออาหารนั้นเราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเราเราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน...เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ' -'แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ''แน่นอนครับ' ผมตอบตกลง'ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง?' ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน'วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย' ผมตอบอีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันมันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลยหลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไปมีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...'แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ -แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน, รักลูกมากจ๊ะ'ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ''รัก'ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมันไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณจงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

ไม่มีความคิดเห็น: