วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

ความประทับใจในการเรียนเตรียมฝึกฯ




ระเบียบ ระบบ เป็นมาตรฐานในการควบคุมสิ่งต่างๆที่สำคัญมาก แม้บางครั้งความคิดเห็นเราจะแตกต่างและขัดแย้ง แต่เราจำเป็นต้องกระทำตามเพื่อความเป็นระบบ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ผมเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้มีการเรียนวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์ ทำให้เราเรียนรู้การที่จะอยู่กับคนหมู่มาก การเข้าสังคมและการทำงานเป็นทีม ซึ่งจากการทำโครงการที่ผ่านมาได้ทดสอบกระบวนการทำงานของแต่ละกลุ่มเป็นอย่างดีซึ่งบางกลุ่มอาจใช้เวลาและเงินจำนวนมากในการดำเนินงาน ซึ่งนั้นหมายถึงการจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งตรงกันข้ามบางกลุ่มลงทุนน้อยใช้เวลาประหยัด และที่สำคัญผลงานออกมาดูดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนให้แต่ละคน ใช้เป็นบทเรียนในการออกไปทำงานจริงในชีวิต แต่ท้ายที่สุดเราก็เห็นถึงความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกันของแต่ละกลุ่ม ทั้งการจัดสถานที่จัดงาน และช่วยให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานสำเร็จภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา สถานที่ และอื่นๆ แต่เราก็สามารถจัดการสิ่งเหล่านั้นจนประสบผลสำเร็จถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้พวกเราทราบถึงปัญหาและข้อบกพร่องต่างๆเหล่านั้น ซึ่งมันคงเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับทุกคน และสุดท้ายทุกคนคงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้ประสบการณ์การทำงานเยอะเลยครับ....

ประวัติส่วนบุคคล





ชื่อ นายตะวัน นามสกุล คำยศ

ชื่อเล่น นาทา เกิด 15 ธันวาคม 2530

อายุ 20 ปี น้ำหนัก 55 กก. ส่วนสูง 176 ซม.

ภูมิลำเนา จังหวัดหนองคาย
ที่อยู่ 12 หมู่ 8 ต.ท่าสะอาด อ.เซกา จ.หนองคาย

ที่อยู่ปัจจุบัน ณัฐวัฒอพาร์ทเม้นท์ 114 แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กทม.
การศึกษาปัจจุบัน ระดับปริญญาตรี มหาวิยาลัยราชภัฏสวนดุสิตคณะวิทยาการจัดการ

โปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ

ความชื่นชอบสีที่ชอบ ขาว-ดำ , เขียว

สัตว์ที่ชอบ กระต่ายอาหารที่ชอบ ต้มแซบ

แนวเพลงที่ชอบ ร๊อค, ลูกทุ้งเวลาว่าง อ่านหนังสือ, ดูหนัง

คติ พรุ้งนี้ก็สว่างแล้วอดทนไว้เพื่อวันพรุ้งนี้

ข้อมูลการติดต่ออีเมลล์ mailto:t_s123@hotmail.com

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

คนที่มีแม่ต้องอ่าน


'เมื่อแฟนผมให้ไปออกเดทกับหญิงอื่น' หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปีผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอเพราะ...วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่งมันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ' ภรรยาผมพูด'แต่ผมรักคุณนี่' ผมเถียง'ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน'ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ 'แม่' ของผมเอง ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา 19 ปีแล้วเนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบและยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแลทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้นผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้นวันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนังแม่ถามผมว่า 'มีอะไรหรือ? ลูกสบายดีรึเปล่า?'แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหันหมายความว่า มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดข ึ้น ผมตอบแม่ว่า 'ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง'แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า 'ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ' + 'แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ'...เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่าแม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้วแม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้ายพลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า 'จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย' แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ เพื่อน ๆ ของแม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบแม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งหลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร เพราะแม่บอกว่า 'ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น'เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหารผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลังแม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า 'ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ' ผมบอกแม่ว่า 'งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว' ในระหว่างมื้ออาหารนั้นเราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเราเราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน...เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ' -'แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ''แน่นอนครับ' ผมตอบตกลง'ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง?' ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน'วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย' ผมตอบอีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันมันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลยหลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไปมีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...'แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ -แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน, รักลูกมากจ๊ะ'ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ''รัก'ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมันไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณจงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน


ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่.. บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี
มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน
แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า
ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง
นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้
ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่
ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับ โน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทราด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ "เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้ง วันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก" พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ที่มา : http://www.ngcspice.com/webboard.php?id=407290&cat